วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD
โดยนาย ณฐนน แก้วกันจร
ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ดังนี้
กนกพร แสงสว่าง (2540 : 11) ได้กล่าวถึงความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือว่า
การเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จัดนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ โดยการจัดให้สมาชิกแต่ละกลุ่มมีความหลากหลายทั้งในด้านความสามารถ ความสนใจ เพศและอื่น ๆ โดยแต่ละคนจะมีบทบาทหน้าที่ และความรับผิดชอบที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน โดยเน้นกระบนการร่วมมือมากกว่าการแข่งขันความสำเร็จของตนเองจะต้องควบคู่ไปกับความสำเร็จของกลุ่ม
อรพรรณ พรสีมา (2540 : 1 – 4) ได้ให้ความหมายว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง วิธีการเรียนที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้นักเรียนได้เรียนรู้กันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถแตกต่างกัน แต่ละคนจะต้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้ และในความสำเร็จของกลุ่ม ทั้งโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นรวมทั้งการเป็นกำลังใจแก่กันและกัน
วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542 : 34) กล่าวถึงการเรียนรู้แบบร่วมมือว่า การเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้แก่ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกันโดยที่แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้ และในความสำเร็จของกลุ่มทั้งโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการแบ่งทรัพยากรการเรียนรู้รวมถึงการเป็นกำลังใจแก่กันและกัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือคนที่อ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อการเรียนของตนเองท่านั้นหากแต่จะต้องร่วมรับผิดชอบความสำเร็จของแต่ละบุคคลคือความสำเร็จของกลุ่ม
สมศักดิ์ ภู่วิกาดาวรรธน์ (2544 : 3) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า
การเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง วิธีการเรียนที่มีการจัดกลุ่มการทำงานเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเพิ่มพูนแรงจูงใจในการเรียน การเรียนแบบร่วมมือไม่ใช่วิธการจัดนักเรียนเข้าอยู่รวมกันแบบธรรมดาแต่เป็นการรวมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน กล่าวคือสมาชิกแต่ละคนในทีมจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการเรียนรู้และสมาชิกทุกคนจะได้รับการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจเพื่อที่จะช่วยเหลือและเพิ่มพูน
การเรียนรู้ของสมาชิกในทีม ดังนั้นการจัดผู้เรียนเข้ากลุ่มทำงานโดย ๆ ไปจึงอาจไม่ใช่การเรียนแบบร่วมมือ เพราะมักพบว่านักเรียนที่เก่งเท่านั้นจะเป็นผู้จัดการให้เกิดผลงานทีมสมาชิกอื่น ๆ อาจไม่มีโอกาสในการแสดงออกในการเรียนรู้
อนุสรณ์ สุชาตานนท์ (2536 : 10) ได้กล่าวถึงความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือว่า
การเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การที่ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน สมาชิกภายในกลุ่มมีความสามารถที่แตกต่างกัน มีบทบาทต่างกัน ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความก้าวหน้าไปด้วยกันและรับผิดชอบการทำงานของตัวเองเท่า ๆ กับรับผิดชอบงานของ
แวน เดอ เคล (Van Der Kley อางถึงใน วรรณทิพา รอดแรงคา 2541 : 45) ไดกลาว
วาการเรียนแบบรวมมือหมายถึงการที่นักเรียนมีปฏิสัมพันธรวมกันในการทํางานชวยเหลือเกื้อกูลสนับสนุนความสําเร็จของกันและกัน โดยที่นักเรียนแตละคนในกลุมจะมีความรับผิดชอบงานของตนเอง การทํางานที่ไดรับมอบหมายของนักเรียนแตละคนจะมีการตรวจสอบและการนําผลการทํางานเสนอในกลุม กลุมจะทําหนาที่ชวยเหลือวาใครออนดานใดคนที่เกงจะชวยเหลือดานนั้นซึ่งจะทําใหการทํางานเขมแข็งขึ้น
ดอยทช์ จอห์นสันและจอห์นสัน (Deutsch Johnson and Johnson อ้างถึงใน กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 2546 : 10) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่มีอยู่ด้วยกัน ภายในกิจกรรมที่ร่วมกันทำนี้ แต่ละคนจะแสวงหาผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกอื่น ๆ ในกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือใช้ในการสอนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ให้นักเรียนทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเรียนสูงสุดแก่ตนและแก่กันและกัน ความคิดเช่นนี้ทำได้ง่าย ๆ โดยแบ่งนักเรียนในชั้นออกเป็นกลุ่มย่อยหลังจากที่ครูให้คำชี้แจงแล้ว นักเรียนทำงานร่วมกันตามที่ได้รับมอบหมายจนกระทั่งสมาชิกของกลุ่มทุกคนมีความเข้าใจถูกต้องและทำงานจนเสร็จสมบูรณ์ ความพยายามที่เกิดขึ้นร่วมกันเป็นผลมาจากการที่นักเรียนพยายามต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของทุกคน ทำให้สมาชิกในกลุ่มได้รับประโยชน์จากความพยายามร่วมกัน (ฉันได้ประโยชน์จากความพยายามของเธอ และเธอก็ได้รับประโยชน์จากความสำเร็จของฉัน) ยอมรับว่าทุกคนลงเรือลำเดียวกัน (ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน) รับรู้ว่าการกระทำของใครคนหนึ่งเกิดขึ้นโดยตัวของใครคนนั้นและโดยเพื่อนร่วมงานของเขาด้วย (ฉันทำไม่ได้ถ้าขาดเธอ) และรู้สึกภูมิใจและร่วมยินดี เมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งได้รับการยอมรับในผลสัมฤทธิ์ (เธอได้ A ! เยี่ยมไปเลย A !) ในสถานการณ์ที่มีการเรียนรู้แบบร่วมมือนี้จะมีการพึ่งพาทางบวก (positive interdependence) ในการมุ่งสู่ความสำเร็จของนักเรียน พวกเขารู้ว่าตนสามารถไปถึงเป้าหมายของการเรียนรู้ได้ถ้าหากว่านักเรียนคนอื่น ๆ ในกลุ่มไปถึงเป้าหมายได้เช่นกัน
จาก http://www.wijai48.com/learning_stye/learningprocess.htm ให้ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ คือการเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 – 6 คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอนจะเน้นให้ผู้เรียนช่วยกันในการเรียนรู้โดยมีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาอาศัยกันในการเรียนรู้ มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด มีการสัมพันธ์กัน มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม และมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานร่วมกัน ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ โดยวิธีการที่หลากหลายและควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน และครูควรจัดให้ผู้เรียนมีเวลาในการวิเคราะห์การทำงานกลุ่มและพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม เพื่อให้กลุ่มมีโอกาสที่จะปรับปรุงส่วนบกพร่องของกลุ่ม
จากความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือดังดังกล่าวพอสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือหมายถึงรูปแบบการเรียนรู้ที่นักเรียนทำงานร่วมกันโดยการแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 2 - 6 คนคละทั้งเพศ เชื้อชาติ ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเรียนสูงสุดแก่ตนเองและแก่กันและกัน ทำให้เกิดการพึ่งพาอย่างสร้างสรรค์ และนักเรียนเกิดความมั่นใจและมีกำลังใจที่จะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายเดียวกัน สมาชิกทุกคนต้องร่วมมือกันจึงจะทำให้กลุ่มประสบความสำเร็จได้
หลักการของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson อ้างถึงใน ทิศนา แขมณี,2550 : 64) กล่าวถึงหลักของการเรียนแบบร่วมมือว่าผู้เรียนควรร่วมมือกันเรียนรู้มากกว่าการแข่งขันกัน เพราะการแข่งขันก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการแพ้ – ชนะ ต่างจากการร่วมมือกันซึ่งก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการชนะ – ชนะ อันเป็นสภาพการณ์ที่ดีกว่าทั้งในด้านจิตใจและสติปัญญา หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือมี 5 ประการประกอบด้วย
1. การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักพึ่งพา (Positive Interdependence) โดยถือว่าทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกันและจะต้องพึ่งพากัน เพื่อความสำเร็จร่วมกัน
2. การเรียนรู้ที่ดีต้องอาศัยการหันหน้าเข้าหากัน มีปฏิสัมพันธ์กัน (Face to Face Interaction) (Face to Face Interaction) (Face to Face Interaction) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อมูล และการเรียนรู้ต่าง ๆ
3. การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม (Social Skills) โดยเฉพาะทักษะการทำงานร่วมกัน
4. การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) ที่ใช้ในการทำงาน
5. การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสัมฤทธิ์ ทั้งรายบุคคลหรือรายกลุ่ม ที่สามารถตรวจสอบวัดประเมินได้ (Individual Accountability) หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือกัน นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในด้านเนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้กว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยพัฒนาผู้เรียนทางด้านสังคมและอารมณ์มากขึ้นด้วย รวมทั้งมีโอกาสได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอีกมาก
จอห์นสันและจอห์นสัน (Johnson and Johnson อ้างถึงใน วรรณทิพา รอดแรงค้า 2541 : 132) กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือมีองค์ประกอบที่สำคัญ 5 ประการ ถ้าขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งจะเป็นการทำงานกลุ่ม (Group Work) และไม่ใช่การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) องค์ประกอบทั้ง 5 ได้แก่
1. มีการปฎิสัมพันธ์กันใกล้ชิด (Face to Face Interaction) เป็นการเข้ากลุ่มใน
ลักษณะคละกันทั้งเพศ อายุ ความสามารถหรืออื่น ๆ เพื่อให้นักเรียนได้ช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกันในการทำงานร่วมกัน
2. มีความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ (Individual Accountability)นักเรียนแต่ละ
คนต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการทำงานกลุ่มเพื่อให้งานสำเร็จออกมาด้วยดี จึงเป็นหน้าที่ของแต่ละกลุ่มที่ต้องคอยตรวจสอบดูว่าสมาชิกทุกคนได้เรียนรู้หรือไม่ โดยมีการประเมินว่า ทุกคนรู้เรื่องหรือเห็นด้วยหรือไม่กับงานของกลุ่ม อาจมีการสุ่มถามนักเรียนคนใดคนหนึ่งให้รายงานผลว่าเป็นอย่างไร ซึ่งอาจมีบางคนไม่เข้าใจหรือสับสน นักเรียนคนอื่น ๆ ในกลุ่มก็จะได้ช่วยกันอธิบายจนเข้าใจ สมาชิกคนใดคนหนึ่งในกลุ่มสามารถอธิบายได้ทันทีเมื่อมีการเรียกให้รายงานหน้าชั้นเรียน
3. มีการใช้ทักษะกระบวนการกลุ่ม (Cooperative Social Skills) นักเรียนต้อง
ใช้ทักษะความร่วมมือในการทำงานให้มีประสิทธิภาพซึ่งได้แก่ ทักษะการสื่อความหมาย การแบ่งปัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกันร่วมมือกันงานจะบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายอย่างมีประสิทธิภาพสูงถ้าทุกคนไว้วางใจและยอมรับความคิดเห็นของกันและกัน
4. การพึงพาอาศัยกัน (Positive Inter-independence) นักเรียนต้องเข้าใจว่า
ความสำเร็จของแต่ละคนในกลุ่มขึ้นอยู่กับความสำเร็จขอกลุ่ม งานบรรลุจุดประสงค์หรือไม่ขึ้นอยู่กับสมาชิกในกลุ่มที่จะต้องช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยที่ครูกำหนดวัตถุประสงค์ของงานให้ชัดเจน ตลอดจนกำหนดบทบาทการทำงานของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มให้แน่ชัดว่า สมาชิกมีหน้าที่และมีความรับผิดชอบอะไรกับงานของกลุ่ม
5. มีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) นักเรียนต้องช่วยกัน
ประเมินประสิทธิภาพ การทำงานกลุ่ม และประเมินว่าสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มสามารถปรับปรุงการทำงานของตนเองให้ดีขึ้นได้อย่างไรสมาชิกทุกคนในกลุ่มควรช่วยกันแสดงความคิดเห็นซึ่งกันและกันและตัดสินได้ว่างานครั้งต่อไปจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่หรือควรปฏิบัติเช่นเดิมอีกหรือขั้นตอนการทำงานขั้นตอนใดที่ยังขาดตกบกพร่องและยังไม่ดี ควรปรับปรุงแก้ไขอะไรอย่างไร
นาตยา ปิลันธนานนท์ (2537 : 210 – 212) ได้กล่าวถึงหลักการของการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า การเรียนแบบร่วมมือเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นความสำคัญของการทำงานร่วมกัน ให้ผู้เรียนสนุกสนานกับการทำงานด้วยกัน เพื่อให้นักเรียนตื่นตัวในการช่วยเหลือกันอย่างจริงจัง กรจัดกิจกรรมแสดงให้เห็นว่า การช่วยกันเรียนช่วยกันสอน พวกเขาจะได้รับผลตอบแทนอย่างไร พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนการวัดผลให้เห็นความสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้ตนเองและกลุ่มไปพร้อม ๆ กัน หลักในการจัดกลุ่มควรให้สมาชิกที่มีความสามารถและมีลักษณะต่าง ๆ คละกัน ให้นักเรียนช่วยกันเรียน ช่วยกันสอน เพื่อให้เข้าใจเหมือนที่ตนเองเข้าใจ เมื่อทุกคนทำคะแนนได้ดีก็จะกลับคืนมาเป็นประโยชน์ที่ทุกคนได้รับ ความสำเร็จในการช่วยเหลือกันเรียนเช่นนี้จะทำให้นักเรียนเห็นคุณค่าของการช่วยเหลือกันและร่วมมือกันมากขึ้น อย่างไรก็ตามการส่งเสริมความร่วมมือช่วยเหลือกันสามารถทำได้ในลักษณะการจัดบรรยากาศและสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ซึ่งควรจำทำคู่ขนานกันไปกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียน
จากการศึกษาหลักการของการเรียนรู้แบบร่วมมือพอสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมืออาศัยหลักการที่สำคัญคือ การพัฒนาทักษะทางวิชาการและทักษะการทำงานร่วมกันโดยแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มขนาดเล็ก ผู้เรียนที่เรียนดีจะได้รับการปลูกฝังให้มีความเสียสละในการดูแลรับผิดชอบของสมาชิกในกลุ่ม ไม่เห็นแก่ตนเอง ส่วนผู้เรียนที่เรียนอ่อนจะได้รับการดูแลจากสมาชิกในกลุ่มจนเกิดความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ถูกทอดทิ้ง ซึ่งเป็นลักษณะที่สอดคล้องกับสภาพที่เหมาะสมในการอยู่ร่วมกันในสังคม
การเรียนแบบรวมมือเทคนิค STAD
ความหมายของการเรียนแบบรวมมือเทคนิค STAD
การเรียนแบบรวมมือเทคนิค STAD มีนักการศึกษาไดใหความหมายไวหลายทาน ดังนี้
วัฒนาพร ระงับทุกข (2542: 37) กล่าว่า การเรียนแบบรวมมือเทคนิค STAD เปนการจัดนักเรียนเปนกลุม ๆ ละ 4-5 คน โดยสมาชิกมีความสามารถคละกันทั้งความสามารถสูง ปานกลางและตํ่า แตละกลุมรวมกันศึกษาทบทวนเนื้อหาจนเขาใจหลังจากนั้นครูใหผูเรียนทุกคนทําแบบทดสอบ ตรวจคําตอบ นําคะแนนของสมาชิกทุกคนในกลุมมารวมกันคิดเปนคะแนนกลุม
การเรียนแบบรวมมือที่ใชเทคนิค STAD หมายถึง การเรียนโดยแบงกลุมนักเรียนตามสังกัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั้งนี้กําหนดใหนักเรียนที่มีความสามารถตางกันมาทํางานรวมกันเปน
กลุมเล็ก ๆ โดยปกติในกลุมหนึ่ง ๆจะมีสมาชิก 4 คนเปนนักเรียนที่เรียนเกง 1 คน เรียนปานกลาง 2 คน และเรียนออน 1 คน ผลการทดสอบของนักเรียนเปนรายบุคคล การทดสอบทั้ง 2 ครั้ง นักเรียน
ตางคนตางสอบแตเวลาเรียนตองรวมมือกัน
สุรศักดิ์ หลาบมาลา (2541 : 4) กล่าวว่า การเรียนแบบรวมมือโดยใชเทคนิคสแตด หมายถึง วิธีการเรียนแบบรวมมือจะตองมีเปาหมายของกลุมและชวยเหลือกัน เพื่อความสํ าเร็จของกลุม กําหนดใหใชเวลาในชั้นเรียนมีการทํางานรวมกันเปนกลุมประมาณ 4 - 5 คน โดยสมาชิกในกลุมจะตองมีความสามารถแตกตางกัน และใชการเสริมแรง เชน รางวัล คําชมเชย เปนตน เพื่อกระตุนใหนักเรียนรวมมือกันทํางาน (กรมวิชาการ กองการวิจัยการศึกษา,2535: 23)
กิ่งดาว กลิ่นจันทร (2537 : 14) กล่าวว่า การเรียนแบบรวมมือที่ใชเทคนิค STAD หมายถึง การแบงกลุมกลุมละ 4 – 5 คน สมาชิกมีความหลากหลายในความสามารถในกลุมนี้จะไมมีการเลนเกมแขงขัน เมื่อสมาชิกในกลุมชวยกันทบทวนบทเรียนพรอมแลวใหทําแบบทดสอบเปนเวลาประมาณ 15 นาที คะแนนที่ไดจากการทําแบบทดสอบจะแปลงคะแนนของแต่ละกลุม โดยใชระบบที่เรียกวา “กลุมสัมฤทธิ์” จะมีโอกาสไดคะแนน ตั้งแตอันดับที่ 1 – 6 เทากันทุกกลุม คะแนนที่แปลงไดจะนําไปรวมกับคะแนนของเพื่อนในกลุม STAD ของตนเปนคะแนนรวมของกลุมวงจรกิจกรรมกลุมSTADไดแก การบรรยาย การอภิปรายในชั้นเรียน 40 นาทีการทบทวนบทเรียน 40 นาที (โดยใหเพื่อนชวยสอนกันในกลุม) และการทําแบบสอบ 15 – 20 นาที วงจรนี้จะใชสัปดาหละ 2 ครั้ง
สลาวิน Slavin (อางถึงใน บุปผชาติ ทัฬหิกรณ 2542: 1-5) การเรียนแบบรวมมือโดยใชเทคนิคสแตดเปนการเรียนที่จูงใจใหนักเรียนรูจักใหกําลังใจและชวยเหลือเพื่อนในการเรียนรูเนื้อหาที่ครูถายทอด ถานักเรียนตองการใหทีมตนไดรับรางวัล ก็ตองชวยสมาชิกในที่เรียนรูเนื้อหานั้น นักเรียนจะตองใหกําลังใจเพื่อนใหเพื่อนทําดีที่สุด ทําใหเกิดบรรยากาศวาการเรียนเปนเรื่องสํ าคัญ มีคุณคา และสนุก การทํางานดวยกันของนักเรียนจะเกิดขึ้นเมื่อครูสอนบทเรียนนั้นจบ
จากที่กลาวมาขางต้นสรุปได วาการเรียนแบบรวมมือเทคนิค STAD หมายถึง การเรียนรูแบบรวมมือรูปแบบหนึ่ง ที่มีการแบงกลุมนักเรียนออกเปนกลุมยอย ประกอบดวยสมาชิก 3 – 5 คน ซึ่งสมาชิกแตละคนมีความสามารถแตกตางกันการทดสอบแตละครั้งตางคนตางทํา แตเวลาเรียนตองรวมมือกันชวยเหลือซึ่งกันและกัน เด็กเกงจะชวยเหลือเด็กออน เพราะจะทําใหคะแนนของกลุมดีขึ้น และมีการเสริมแรงกระตุนใหนักเรียนรวมมือกันทํางาน โดยการใหรางวัล เชน คําชมเชย เปนตน ผลการทดสอบของนักเรียนจะแบงเปน 2 สวน สวนแรกจะพิจารณาคาเฉลี่ยของกลุม สวนที่ 2 จะพิจารณาคะแนนสอบเปนรายบุคคล
ขั้นตอนการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD
ขั้นตอนการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD มีดังนี้ (นาตยา ปลันธนานนท,2538:
4-5)
1) การกําหนดรายวิชาและบทเรียนใหอยูในรูปของการเรียนแบบรวมมือโดย
เทคนิคสแตด ลักษณะของการจัดกิจกรรมโดยเริ่มตนจากครูจะตองกําหนดหนวยการเรียนที่นักเรียนจะตองศึกษากอน จากนั้นพิจารณาแยกยอยหนวยการเรียนนี้วาควรจะประกอบดวยหัวขอเรื่องอะไรบางที่จะครอบคลุมเรื่องราวสาระของทั้งหนวยการเรียน ซึ่งการแบงกลุมนักเรียนในหองจะแบงเปนกี่กลุมก็ได แตสมาชิกในแตละกลุมจะตองเทากับจํานวนหัวขอเรื่องที่จะศึกษา
2) การจัดนักเรียนเขากลุม ในการเรียนแบบรวมมือโดยเทคนิคสแตดนั้นจะมีวิธีการหลักในการจัดกลุม คือ ในแตละกลุมนักเรียนจะมีความสามารถและ
สภาพใกลเคียงกันหรือเรียกวาคละกันมีทั้งนักเรียนเกง ปานกลาง ออน ซึ่งจะกระทําไดโดยการเรียงลําดับคะแนนผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน อาจจะใชของปที่ผานมา เปนเกณฑ หรือจากดุลยพินิจของครูเองที่รูจักนักเรียนของตนมากอนแลว จากนั้นจัดลําดับจากผลสัมฤทธิ์สูงไปหา
ตํ่า กอนที่จะจัดเขากลุม (ขอสําคัญ ในการพิจารณาจัดกลุมนั้นจะตองไมมีความเหลื่อมลํ้าให
กลุมใดกลุมหนึ่งมีความไดเปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน)
3) ลักษณะการทํางานกลุม ในการทํางานของแตละกลุม สมาชิกทั้ง 4 คนจะ
แบงกันศึกษาคนละหัวขอ โดยครูจะจัดเตรียมเอกสาร สื่อวัสดุที่จะใชศึกษาคนควาใหพรอมนอกจากนั้นครูยังจะตองเตรียมทํากรอบประเด็นคําถาม ใบงานของแตละหัวขอไวดวยสมาชิกที่ไดรับมอบหมายใหศึกษาหัวขอใดก็จะใชสื่อวัสดุหัวขอนั้น เปนแนวทางในการศึกษาจนเขาใจดีแลว จากนั้นจะตองสอนและอธิบายใหเพื่อนที่ศึกษาหัวขออื่นเขาใจในหัวขอที่ตนรับผิดชอบอยูใหได ใหเพื่อนที่เหลือทั้ง 3 คน ตอบประเด็นคําถามที่ครูใหมา ทํ าใบงานใหได ทํ าเชนนี้แลกเปลี่ยนกันในระหวาง 4 คน ในแตละกลุมจะเห็นไดวา สมาชิกทุกคนในแตละกลุมจะตองชวยกันเรียนและยังตองชวยกันสอนซึ่งกันและกันดวย ทุกคนไดเรียนรูหนวยการเรียนหนวยนี้ดวยกัน โดยการชวยเหลือกันจากนั้นครูจะ
ทําการทดสอบหนวยการเรียนนี้โดยในการทดสอบจะเปนเรื่องของนักเรียนแตละคน แลวเรียกวา “ตัวใครตัวมัน” ซึ่งการทํางานนี้หัวใจสําคัญอยูที่ความรับผิดชอบชวยเหลือกันของสมาชิกแตละคน ทุกคนจึงตองทํ าใหดีที่สุด สมาชิกเรียนรูใหกําลังใจ และเขาใจรวมกัน
การทดสอบ เมื่อจบหนวยการเรียนนั้นแลว นักเรียนทุกคนจะเขาทําการทดสอบใน
สาระที่เรียนแบบตางคนตางสอบ จะชวยเหลือกันมิได แตคะแนนที่ไดจะมีผลสําหรับคะแนนรวมกลุม เพราะจะนําไปรวมกับการประเมินผลยอย แลวแสดงใหเห็นภาพโดยรวมของกลุมออกมาการปรับปรุงคะแนนจะเปิดโอกาสใหนักเรียนไดพัฒนาความสามารถของตนอยางเต็มที่จึงใหนักเรียนสามารถปรับปรุงคะแนนของตนเองไดสูงขึ้นอยางไรก็ตามเพื่อจูงใจใหนักเรียนตื่นตัวในการเรียนกันอยางจริงจังในขณะทํากิจกรรม การเรียนรูครูตองยํ้าใหนักเรียนเห็นความสําคัญของกลุม และคิดวาทุกคนในกลุมมีความสํ าคัญเทา ๆ กัน และทุกคนตองรวมใจกันทําเพื่อกลุม ซึ่งในสวนนี้การประเมินผลจะตองแสดงใหเขาเห็นวาจากการที่ชวยกันเรียนชวยกันสอนพวกเขาจะไดรับผลตอบแทนอยางไร ซึ่งสิ่งเหลานี้จะชวยใหนักเรียนเห็นคุณคาของการชวยเหลือกัน รวมมือกันมากยิ่งขึ้น
สลาวิน (Slavin อางถึงใน วรรณทิพา รอดแรงคา 2542: 145-147) สลาวินเปนผู
พัฒนาการเรียนแบบรวมมือโดยใชเทคนิคสแตดขึ้น โดยกําหนดขั้นตอนของการเรียนไวดังนี้
1) ครูนําเสนอสิ่งที่นักเรียนตองเรียนไมวาจะเปนมโนมติ ทักษะและหรือ
กระบวนการ การนําเสนอสิ่งที่ตองเรียนนี้อาจใชการบรรยาย การสาธิตประกอบการบรรยายการใชวีดีทัศน หรือแมแตการใหนักเรียนลงมือปฏิบัติการทดลองตามหนังสือเรียน
2) ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุม ๆ แตละกลุมจะประกอบดวยนักเรียนประมาณ
4-5 คน ที่มีความสามารถแตกตางกัน มีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ครูตองชี้แจงใหนักเรียนในกลุมไดทราบถึงหนาที่ของสมาชิกในกลุมวานักเรียนตองชวยเหลือกัน เรียนรวมกันอภิปรายปญหารวมกัน ตรวจสอบคํ าตอบของงานที่ไดรับมอบหมายและแกไขค าตอบรวมกันสมาชิกทุกคนในกลุมตองทํางานใหดีที่สุดเพื่อใหเกิดการเรียนรู ใหกําลังใจและทํางานรวมกันไดหลังจากที่ครูจัดกลุมเสร็จเรียบรอย ควรใหนักเรียนแตละกลุมทํางานรวมกันจากใบงานที่ครูเตรียมไว ครูจัดเตรียมใบงานที่มีคําถามสอดคลองกับวัตถุประสงคของบทเรียน เพื่อใชเปนบทเรียนของการเรียนแบบรวมมือ ครูควรบอกนักเรียนวา ใบงานนี้ออกแบบมาใหนักเรียนชวยกันตอบคําถาม เพื่อเตรียมตัวสําหรับการทดสอบยอย สมาชิกแตละคนในกลุมจะตองชวยกันตอบคําถามทุกคําถามโดยรวมกันเปนคู ๆ และเมื่อตอบคําถามเสร็จแลวก็จะเอาคําตอบมาแลกเปลี่ยนกันโดยสมาชิกแตละคนจะตองมีความรับผิดชอบ
ชวยเหลือซึ่งกันและกันในการตอบคําถามแตละขอใหได ในการกระตุนใหสมาชิกแตละคนมีความรับผิดชอบตอกัน ตองแนใจวาสมาชิกแตละคนในกลุมสามารถตอบคําถามแตละขอได
อยางถูกตอง ใหนักเรียนชวยกันตอบคําถามทุกขอใหไดโดยไมตองขอความชวยเหลือจากเพื่อนนอกกลุมหรือขอความชวยเหลือจากครูใหนอยที่สุด ตองแนใจวาสมาชิกแตละคนสามารถอธิบาย
คําตอบแตละขอได
3) ครูทดสอบยอยนักเรียนโดยที่นักเรียนตางคนตางทํ าแบบทดสอบ เพื่อเปนการ
ประเมินความรูที่นักเรียนเรียนมา ชมเชย มอบรางวัล สิ่งนี้จะเปนตัวกระตุนความรับผิดชอบของนักเรียน
การเรียนแบบรวมมือเทคนิค STAD ประกอบดวยกิจกรรมที่เปนวงจรตามลําดับ
ขั้นดังนี้ (Slavin 1990 อางถึงใน สุจินต วิศวธีรานนท 2536 : 17)
1. ขั้นสอน ครูดําเนินการสอนเนื้อหา ทักษะหรือวิธีการเกี่ยวกับบทเรียนนั้น ๆ
อาจเปนกิจกรรมที่ครูบรรยาย สาธิต ใชสื่อประกอบการเรียนการสอนหรือใหนักเรียนทํากิจกรรมทดลอง
2. ขั้นทบทวนความรูเปนกลุม แตละกลุมประกอบดวยสมาชิก 4 – 5 คน ที่มี
ความสามารถทางการเรียนแตกตางกัน สมาชิกในกลุมตองมีความเขาใจวา สมาชิกทุกคนจะตอง
ทํางานเพื่อชวยเหลือกันและกัน ในการศึกษาเอกสารและทบทวนความรู เพื่อเตรียมพรอมสําหรับการสอบยอย โดยครูเนนใหนักเรียนทําดังนี้
1) ตองใหแนใจวา สมาชิกทุกคนในกลุมสามารถตอบคําถามไดถูกตอง
ทุกขอ
2)เมื่อมีขอสงสัยหรือปัญหา ใหนักเรียนชวยเหลือกันภายในกลุมกอนที่
จะถามครูหรือถามเพื่อนกลุมอื่น
3) ใหสมาชิกอธิบายเหตุผลของคําตอบของแตละคําถามใหได โดยเฉพาะ
แบบฝกหัดที่เปนคําถามปรนัยแบบใหเลือกตอบ
3. ขั้นทดสอบยอย ครูจัดใหนักเรียนทําแบบทดสอบยอย หลังจากนักเรียนเรียน
และทบทวนเปนกลุมเกี่ยวกับเรื่องที่กําหนดนักเรียนทําแบบทดสอบคนเดียวไมมีการชวยเหลือกัน
4. ขั้นหาคะแนนปรับปรุง คะแนนปรับปรุงเปนคะแนนที่ ไดจากการพิจารณา
ความแตกตางระหวางคะแนนการทดสอบครั้งก อน ๆ กั บคะแนนการทดสอบครั้งปัจจุบันซึ่ง
มีเกณฑการใหคะแนนกําหนดไว ดังนั้นจะตองมีการกําหนดคะแนนพื้นฐานของนักเรียนแตละคน
ซึ่งอาจไดจากคาเฉลี่ยของคะแนนทดสอบ 3 ครั้งกอน หรืออาจใชคะแนนทดสอบครั้งกอน
หากเปนการหาคะแนนปรับปรุงโดยใชรูปแบบการสอน STAD เปนครั้งแรก
การหาคะแนนปรับปรุงอาศัยเกณฑ์ดังนี้
คะแนนจากแบบทดสอบ คะแนนปรับปรุง
ต่ำกวาคะแนนพื้นฐานมากกวา 10 0
ต่ำกวาคะแนนพื้นฐานระหวาง 1 – 10 10
เทากับคะแนนพื้นฐานถึงมากกวา 10 20
มากกวาคะแนนพื้นฐานตั้งแต 10 ขึ้นไป 30
เมื่อไดคะแนนปรับปรุงของนักเรียนแตละคนแลว จึงหาคะแนนปรับปรุงของกลุม
ซึ่งไดจากคาเฉลี่ยของคะแนนปรับปรุงของสมาชิกทุกคน
4. ขั้นใหรางวัลกลุม กลุมที่ไดคะแนนปรับปรุงตามเกณฑที่กําหนดจะไดรับคํา
ชมเชยหรือติดประกาศที่ป้ายนิเทศในหองเรียน
การได้รับรางวัลมีดังนี้
คะแนนปรับปรุงเฉลี่ยของกลุ่ม ระดับรางวัล
15 ดี
20 ดีมาก
25 ดีเยี่ยม
การจัดกิจกรรมรูปแบบ STAD อาจนําไปใชกับบทเรียนใด ๆ ก็ได เนื่องจากขั้น
แรกเป็นการสอนที่ครูดําเนินการตามปกติ แล้วจึงจัดใหมีการทบทวนเปนกลุม
จากการศึกษาขั้นตอนของการเรียนแบบรวมมือโดยใชเทคนิคสแตดสรุปไดวา มี
ลักษณะธรรมชาติที่ตองการใหผูเรียนไดเรียนรูโดยใชกระบวนการกลุมผสมกับความสามารถสวนบุคคลที่ทุกคนตองแสดงออกรวมกัน เพื่อใหบรรลุเปาหมายทั้งของสวนตัวและสวนรวมไปพรอม ๆ กัน โดยกําหนดขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบ่งออกเปนขั้นตอน ดังนี้
1) ขั้นเตรียมผู้เรียน
2) ขั้นสอน
3) ขั้นปฏิบัติกิกรรมกลุ่ม
4) ขั้นทดสอบย่อย
5) ขั้นสรุปผล ประเมินผล และมอบรางวัล
ทฤษฎีที่สอดคลองกับการเรียนแบบรวมมือ
การเรียนการสอนโดยการเรียนแบบรวมมือ เปนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ที่มีหลักการสอดคลองกับทฤษฎีการเรียนรูที่สําคัญ ๆ ดังนี้
1. ทฤษฎีแรงเสริม
เบอรรัส สกินเนอร (Burrhus Skinner 1958, อางถึงใน สุรางค โคว้ตระกูล 2544:
190-196) กลาววา พฤติกรรมสวนมากของมนุษยเปนพฤติกรรมประเภท OperantBehavior ซึ่งสิ่งมีชีวิต (Organism) ทั้งคนและสัตวเปนผูเริ่มที่จะกระทํ าตอ (Operate) สิ่งแวดลอมของตนเอง สกินเนอรพบวา ถาตองการใหพฤติกรรมคงอยูตลอดไป จํ าเปนตองใหแรงเสริม ไดแบงแรงเสริมออกเปน 2 ประเภท ดังนี้
1) แรงเสริมบวก หมายถึง สิ่งของ คํ าพูด หรือสภาพการณที่จะชวยใหพฤติกรรม
เกิดขึ้นอีก หรือสิ่งทําใหเพิ่มความนาจะเปนไปไดของการเกิดพฤติกรรม
2) แรงเสริมลบ หมายถึง การเปลี่ยนสภาพการณหรือเปลี่ยนสิ่งแวดลอมบางอยาง
ก็อาจจะทําใหอินทรียแสดงพฤติกรรมได ตัวอยางเชน นักเรียนที่ชอบคุย และแหยเพื่อน เวลาครูใหทํางาน จึงถูกครูจับไปนั่งเดี่ยวที่มุมหองและตองนั่งทํางานคนเดียว หลังจากที่นักเรียนตั้งใจทํางานครูก็อนุญาตใหกลับมานั่งที่ตามเดิมของตนรวมกับเพื่อน ๆ ได การแยกนักเรียนออกไปจากเพื่อน
เปนแรงเสริมทางลบซึ่งตางกับการลงโทษ เพราะการลงโทษ มักจะทําหลังจากนักเรียนมีพฤติกรรมที่ไมพึงปรารถนาโดยหยุดการแยกนักเรียนจากหมูเพื่อน เมื่อนักเรียนทํางานเรียบรอยดวยความตั้งใจ นักเรียนสวนมากจะพยายามหนีจากสภาพการณที่ไมพึงปรารถนา เชน แยกอยูอยางโดดเดี่ยว
สกินเนอรเห็นความสําคัญของการใหแรงเสริมมาก จึงไดทําการวิจัยเกี่ยวกับการใหแรงเสริมไว
อยางละเอียด สกินเนอรไดแบงการใหแรงเสริมออกเปน 2 ชนิดคือ
1) การใหแรงเสริมทุกครั้ง คือใหแรงเสริมแกอินทรียที่แสดงพฤติกรรมที่กำหนด
ไวทุกครั้ง (Continuous Reinforcement)
2) การใหแรงเสริมเปนครั้งคราว (Partial Reinforcement) คือไมตองใหแรงเสริม
ทุกครั้งที่อินทรียแสดงพฤติกรรม สกินเนอรพบวาการใหแรงเสริมทุกครั้งแมวาจะชวยในระยะแรกของการเรียนรูแบบการวาเงื่อนไข แตไมมีประสิทธิภาพดีเทากับการใหแรงเสริมเปนครั้งคราว และไดทํ าการวิจัยเกี่ยวกับการใหแรงเสริมแบบเปนครั้งคราวไวอยางละเอียดโดยแบงการใหแรงเสริม
เปนครั้งคราวออกเปน 4 ประเภทคือ
(1) การใหแรงเสริมตามชวงเวลาที่แนนอน (Fixed Interval) หมายถึงการใหแรง
เสริมโดยการกําหนดระยะเวลาหลังจากผูเรียนแสดงพฤติกรรมที่ถูกเปนครั้งแรก และครั้งตอ ๆ ไปไดอยางแนนอน ผูแสดงพฤติกรรมสามารถจะคาดคะเนไดถูกวาเมื่อไรไดรับแรงเสริม
(2) การให แรงเสริมตามชวงเวลาที่ไมแนนอนหรือไมสมํ่าเสมอ(Variable
Interval) หมายถึง ชวงเวลาที่จะใหแรงเสริมครั้งแรกและครั้งตอไป ไมคงที่เปลี่ยนแปรอยูเสมอ ผูแสดงพฤติกรรมไมสามารถจะทาย หรือคาดคะเนไดวาเมื่อไรจะไดรับแรงเสริม
(3) การใหแรงเสริมตามอัตราสวนที่แนนอนหรือคงที่ (Fixed Ratio)หมายถึง การ
ใหแรงเสริมตามจํานวนครั้งของพฤติกรรมโดยจัดเปนอัตราสวนที่คงที่ระหวางการสนองตอบที่ไมไดรับแรงเสริม กับการสนองตอบที่ไดรับแรงเสริม
(4) การใหแรงเสริมตามอัตราสวนที่ไมแนนอน (Variable Ratio)หมายถึง เปนการ
ใหแรงเสริมที่ผูแสดงพฤติกรรมไมสามารถจะคาดคะเนไดถูกวา เมื่อไรจะไดรับแรงเสริม เปนการใหแรงเสริม พฤติกรรมตามจำนวนครั้งที่เปลี่ยนแปรไปเสมอ ผูเรียนไมสามารถที่จะคาดคะเนหรือทายไดวาเมื่อไรจะไดรับแรงเสริม
สกินเนอรมีความเชื่อมั่นวา แรงเสริมเปนตัวแปรสําคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรม
หรือการเรียนรูของนักเรียน ดังนั้นครูที่ดีจะตองสามารถจัดสภาพของการเรียนการสอน เพื่อใหนักเรียนไดรับแรงเสริมเมื่อการเรียนรูไดเกิดขึ้น พฤติกรรมใดที่ไดรับแรงเสริมพฤติกรรมนั้นจะเปนสวนหนึ่งที่นักเรียนเรียนรูพฤติกรรมใดที่ไมไดรับแรงเสริม แมวาจะเนนสิ่งที่ครูตองการใหเกิดก็จะอยูไมนานคงทนสรุปหลักสําคัญของการใชแรงเสริมในการสอนมีดังนี้
1) ครูตองทราบวาพฤติกรรมของนักเรียนที่แสดงวานักเรียนเรียนรูแลวมีอะไร
บาง และใหแรงเสริมพฤติกรรมนั้น ๆ
2) ตอนแรก ๆ ครูควรจะใหแรงเสริมทุกครั้งที่นักเรียนแสดงพฤติกรรมที่พึง
ปรารถนา แตตอนหลังใชแรงเสริมเปนครั้งคราวได
3) ถาจําเปนสําหรับนักเรียนบางคนในการเปลี่ยนพฤติกรรม ครูอาจจะใชแรงเสริม
ที่เปนขนม หรือรางวัลที่เปนสิ่งของ หรือสิ่งที่จะเอาไปแลกเปนของรางวัลได
4) ครูจะตองระวังไมใหแรงเสริม เมื่อนักเรียนแสดงพฤติกรรมไมพึงปรารถนา
5) สํ าหรับพฤติกรรมที่ซับซอน หรือการเรียนรูที่ซับซอน ครูควรจะใชหลักการตัด
พฤติกรรม คือใหแรงเสริมกับพฤติกรรมที่นักเรียนทํ าไดใกลเคียงกับเปาหมายที่กําหนดไวตามลํ าดับขั้น
6) คอย ๆ ลดสัญญาณบอกแนะหรือการชี้แนะลงเมื่อเริ่มเห็นวาไมจํ าเปน
7) คอย ๆ ลดแรงเสริมแบบใหทุกครั้งลง เมื่อเห็นวาผูเรียนทํ าไดแลว และผูเรียน
เริ่มแสดงวามีความพึงพอใจซึ่งเปนแรงเสริมดวยตนเองจากการทํ างานนั้นได
2. ทฤษฎีสนาม (Field Thcory) ของเคิรท เลวิน (Kurt Lewin อ้างถึงใน ทิศนา
แขมมณี,2545 : 10 - 12) ไดกลาวถึงแนวความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีสนาม (Field Theory) ซึ่งมีแนวคิดที่สําคัญของทฤษฎี ดังนี้
1) พฤติกรรมจะเปนผลมาจากพลังความสัมพันธของสมาชิกในกลุม
2) โครงสรางของกลุมเกิดจากการรวมกลุมของบุคคลที่มีลักษณะแตกตางกัน
3) การรวมกลุมแตละครั้งจะตองมีปฏิสัมพันธระหวางสมาชิกในกลุมโดย
เปนปฏิสัมพันธในรูปการกระทํา (act) ความรูสึก (fecl) และความคิด (think)
4 ) องคประกอบตาง ๆ ดังที่กลาวมาไวในขอ 3) จะกอใหเกิดโครงสรางของ
กลุมแตละครั้ง ซึ่งมีลักษณะแตกตางกันออกไปตามลักษณะของสมาชิกในกลุม
5) สมาชิกในกลุมจะมีการปรับตัวเขาหากัน และพยายามชวยกันทํางานซึ่งการที่บุคคลพยายามปรับบุคลิกภาพของตนที่ มีความแตกตางกันนี้จะกอให้ เกิดความเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน และทําใหพลังหรือแรงผลักดันของกลุมที่ทําใหการทํางานเปนไปดวยดี
3. ทฤษฎีจิตวิเคราะหของฟรอยด
ซิกมันด ฟรอยด (Sigmund Freud, 1930, อางถึงใน สุรางค โควตระกูล2544:
32-39) กลาววา ความหมายของพัฒนาการในวัยเด็ก ถือวาเปนรากฐานของพัฒนาการของบุคลิกภาพตอนวัยผูใหญ และมีความเชื่อวา 5 ปแรกของชีวิตมีความสํ าคัญมาก เปนระยะวิกฤติของพัฒนาการของชีวิต บุคลิกภาพของผูใหญมักจะเปนผลรวมของ 5 ปแรก ฟรอยดเชื่อวาบุคลิกภาพของผูใหญที่แตกตางกันก็เนื่องจากประสบการณของแตละคนเมื่อเวลาอยูในวัยเด็กและขึ้นอยูกับวาเด็กแตละคนแกปญหาของความขัดแยงของแตละวัยอยางไร
ทฤษฎีของฟรอยดอาจจะกลาวหลักการโดยยอไดโดยแบงจิตมนุษยออกเปน 3
ระดับ ดังนี้
1) จิตสํ านึก (Conscious) เปนระดับที่ผูแสดงพฤติกรรมทราบและรูตัว
2) จิตกอนสํานึก (Pre-Conscious) เปนสิ่งที่จะดึงขึ้นมาอยูในระดับจิตสํานึกไดงาย
ถาหากมีความจําเปนหรือตองการ
3) จิตไรสํานึก (Unconscious) เปนระดับที่อยูในสวนลึกภายในจิตใจจะดึงขึ้นมา
ระดับจิตสํานึกไดยาก แตสิ่งที่อยูในระดับไรสํ านึกก็มีอิทธิพลตอพฤติกรรมฟรอยดกลาววา พัฒนาการทางบุคลิกภาเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลาโดยเฉพาะขั้นวัยทารก วัยเด็ก และวัยรุน ระบบทั้ง 3 ของบุคลิกภาพคือ
1) Id เปนส วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่ติดตัวเรามาตั้งแตเกิด แตเปนสวน
ที่เปนจิตไรสํ านึกมีหลักการที่จะสนองความตองการของตนเองเทานั้น เอาแตไดอยางเดียว และ
จุดเปาหมายก็คือ หลักความพึงพอใจ (Pleasure Principle) Id จะผลักดันให Ego ประกอบใน
สิ่งตาง ๆ ตามที่ Id ตองการ
2) Ego เปนสวนของบุคลิกภาพที่พัฒนามาจากการที่ทารกไดติดตอหรือมี
ปฏิสัมพันธกับโลกภายนอก บุคคลที่มีบุคลิกภาพปกติคือ บุคคลที่ Ego สามารถที่จะปรับตัว
ใหเกิดสมดุลระหวางความตองการของ Id โลกภายนอก และ Superego หลักการที่ Ego ใชคือ
หลักแหงความเปนจริง (Reality Principle)
3) Superego เปนสวนของบุคลิกภาพที่เกิดขึ้นในระยะที่ 3 ของพัฒนาการ
ที่เชื่อวา “Phallic Stage” เปนสวนของบุคลิกภาพที่ตั้งมาตรการของพฤติกรรมใหแตละบุคคล
โดยรับคานิยมและมาตรฐานจริยธรรมของบิดามารดาเปนของตน โดยตั้งเปนมาตรการความ
ประพฤติ มาตรการนี้จะเปนเสียงแทนบิดามารดา คอยบอกวาอะไรควรทํา หรือไมควรทํ า
มาตรการของพฤติกรรมโดยมากไดมาจากกฎเกณฑตาง ๆ ที่บิดามารดาสอนและมักจะเปน
มาตรฐานจริยธรรมและคานิยมตาง ๆ ของบิดามารดา ฟรอยดกลาววา เปนผลการปรับพฤติกรรม
ทํ าใหเด็กชายเลียนแบบพฤติกรรมของผูชายจากบิดา และเด็กหญิงเลียนแบบพฤติกรรมของ
ผูหญิงจากมารดา แลวยังยึดถือหลักจริยธรรม คานิยมของบิดามารดาเปนมาตรการของพฤติกรรม
ดวย
เพื่อให้เกิดความเข้าใจกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามรูปแบบการ
เรียนรู้แบบร่วมมือ ผู้เขียนขอเสนอตัวอย่างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ดังนี้
ตัวอย่าง
แผนการจัดการเรียนรูแบบร่วมมือเทคนิค STAD
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง คํานาม ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2
เวลา 50 นาที
***********************************************************************************
1. สาระสําคัญ
คํานาม หมายถึง คําที่ใชเรียกชื่อ คน สัตว สิ่งของ สภาพและอาการตาง ๆ ทั้งรูปธรรมและ
นามธรรม จําแนกออกเปนหลายชนิด แตละชนิดมีหนาที่และวิธีใชตางกัน การศึกษาเรื่องคํานามให
เกิดความรูความเขาใจ สามารถนํ าไปใชไดถูกตองเหมาะสม จะชวยใหใช ภาษาสื่อสารไดอยางมี
ประสิทธิภาพ
2. ผลการเรียนรูที่คาดหวัง
มีความรูความเขาใจเรื่อง คํานาม และใชคํานามไดถูกตอง
3. จุดประสงคการเรียนรู
3.1 บอกความหมายของคํานามได
3.2 จําแนกชนิดของคํานามพรอมยกตัวอยางได
3.3 บอกหนาที่ของคํานามแตละชนิด พรอมยกตัวอยางได
3.4 นําคํานามไปใชไดอยางถูกตองเหมาะสม
4. เนื้อหาสาระ
4.1 ความหมายของคํานาม
4.2 ชนิดของคํานาม
4.3 หนาที่ของคํานาม
5. กิจกรรมการเรียนรู
5.1 ขั้นเตรียมผู้เรียน
5.1.1 ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ สนทนาข้อตกลงการปฎิบัติตนในการเรียนการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ โดยนักเรียนต้องรู้สึกเสมอว่า การเรียนต่อไปนี้จะเต็มไปด้วยบรรยากาศการร่วมมือกัน เพื่อผลงานของกลุ่ม ทุกคนจะปฏิบัติหน้าที่อย่างตั้งใจ เต็มเวลาและเต็มความสามารถของตน ครูจะเป็นผู้สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนตลอดเวลา ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 4 – 5 คน
5.2 ขั้นสอน
5.2.1 ใหนักเรียนดูภาพเด็กกําลังเลนที่ชายทะเลแลวเขียนชื่อสิ่งตาง ๆ ที่นักเรียนเห็นมาใหมากที่สุด (ให เวลา 1 นาที ) นักเรียนคนที่ เขียนไดมากที่สุดออกมาพูดหนาชั้นเรียนวาตนเห็นอะไร
ในภาพบาง จากนั้นใหนักเรียนชวยกันจัดกลุมคําที่นักเรียนเขียนเปนกลุมดังนี้
กลุมที่ 1 คําที่เปนชื่อ คน
กลุมที่ 2 คําที่เปนชื่อ สัตว
กลุมที่ 3 คําที่เปนชื่อ สิ่งของ
เมื่อนักเรียนจัดกลุมคําเรียบรอยแลว ครูนําแถบประโยคคําประพันธมาติดบนกระดานดําใหนักเรียนอานและทายวาคําประพันธขางตนเปนความหมายของคําชนิดใด“คําที่เรียกชื่อ คน สัตว และสิ่งของ ลองตีความกอนดีไหมเรียกกันวาเปนคําชนิดใด ใครตอบไดตอบทีมีรางวัล”(เฉลย คําตอบ คือ คํานาม)
5.2.2 นักเรียนชวยกันสรุปความหมายของคํานามจากคําประพันธที่ครูยกมา
5.2.3 ครูอธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับคําและชนิดของคํานามประกอบการซักถาม จากนั้นให
นักเรียนศึกษาใบความรูเพิ่มเติม
5.2.4 สุมนักเรียน 4-5 คน ใหยกตัวอยางคํานามแตละชนิดเพื่อใหเพื่อนในชั้นเรียนสังเกต
ตัวอยางคําและอธิบายความหมายของคํานามชนิดนั้น ๆ (แนวคําตอบ สามานยนาม คือ คํานามที่ใชเรียกชื่อไมชี้เฉพาะ เชน นก ไก ชาย หญิง มนุษย เปนตน วิสามานยนาม คือ คํานามที่เปนชื่อชี้เฉพาะเจาะจงของคน สัตว และ สิ่งของเชน สุกัญญา ดอกกุหลาบ จังหวัดราชบุรี เปนตน)
5.2.5 นักเรียนชวยกันสรุปความหมายของคํานามแตละชนิด โดยครูเสริมและสรุปอีกครั้ง
5.2.6 ครูนําแถบประโยคติดบนกระดานดํา ใหนักเรียนชวยกันบอกวามีคํานามใดบางและอยูสวนใดของประโยค ทําหนาที่อะไร
(1) ทําหนาที่ประธานในประโยค เชน ตะวันขึ้น, การนอนหลับเปนการพักผอน
(2) ทําหนาที่บทกรรมในประโยค เชน นักเรียนเขียนจดหมาย, พระสุริโยทัยมีความ
กลาหาญ
(3) ทําหนาที่ขยายคํานามดวยกัน เชน นักเรียนชายชอบแอบกินขนมในหองเรียน,
เกาะสีชังเปนเกาะที่สวยที่สุด
5.3 ขั้นกิจกรรมกลุม
ใหนักเรียนทํางานรวมกันตามกลุมที่จัดเตรียมไว (กลุม STAD) โดยครูแจกใบงานใหนักเรียนได ศึกษาชนิดและหนาที่ของคํานาม ชวยกันสรุปความหมายชนิดและหนาที่ของคํานามเพื่อสอบเก็บคะแนนกลุม ดังนั้น นักเรียนในกลุ มเดียวกันตองชวยเหลือกั นแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น และสามารถอธิบายเหตุผลของคําตอบในใบงาน เพื่อใหสมาชิกในกลุมทุกคนเขาใจในเนื้อหากอนที่จะถามครูหรือเพื่อนกลุมอื่น
5.4 ขั้นทดสอบ
หลังจากที่นักเรียน เรียนและทบทวนความรู เรื่อง คําและหนาที่ ของคํานาม เปนกลุม
STAD แลวใหนักเรียนทําแบบทดสอบเรื่อง คํานาม เปนรายบุคคลโดยไมมีการชวยเหลือซึ่งกันและกัน (ใหเวลา 10 นาที)
5.5 ขั้นสรุปผล ประเมินผล และมอบรางวัล
ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจคำตอบของแบบทดสอบและรวมคะแนนของกลุ่ม โดยนำ
คะแนนของสมาชิกทุกคนมารวมกันแล้วหารด้วยจำนวนสมาชิก เมื่อได้คะแนนของกลุ่มแล้ว นำ
คะแนนของกลุ่มเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ว่ากลุ่มที่ยอดเยี่ยม เก่งมาก มอบรางวัลให้กับกลุ่มยอดเยี่ยม
6. สื่อการเรียนรู
1. แถบประโยคคําประพันธ เรื่อง คํานาม
2. แถบประโยค 6 ประโยค ไดแก
- ตะวันขึ้น
- การนอนหลับเปนการพักผอน
- นักเรียนเขียนจดหมาย
- พระสุริโยทัยมีความกลาหาญ
- นักเรียนชายชอบแอบกินขนมในหองเรียน
- เกาะสีชังเปนเกาะที่สวยที่สุด
3. ใบงาน เรื่อง คํานาม
4. ใบความรูเรื่อง คําและหนาที่ของคํานาม
5. แบบทดสอบ เรื่อง คํานาม
6. ภาพประกอบการสอนเรื่อง คํานาม (ภาพเด็กกําลังเลนที่ชายทะเล)
7. การวัดและประเมินผล
1. วิธีวัดและประเมินผล
1.1 สังเกตการรวมกิจกรรม
1.2 ตรวจผลงานของนักเรียนจากใบงาน
1.3 ประเมินคุณธรรม จริยธรรม คานิยมและคุณลักษณะอันพึงประสงค
2. เครื่องมือวัดและประเมินผล
2.1 แบบสังเกตการปฏิบัติงานกลุมสําหรับครูและนักเรียน
2.2 แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม คานิยมและคุณลักษณะอันพึงประสงค
เหตุผลที่เลือกวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD
จากการศึกษาค้นคว้าของผู้เขียน พบว่าการแก้ปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา เช่น เกม บทเรียนสำเร็จรูป ชุดการสอน หนังสืออ่านเพิ่มเติม แต่การนำรูปแบบการเรียนการสอนใหม่ๆมาใช้มีค่อนข้างน้อย การนำรูปแบบการเรียนการสอนใหม่ๆและมีประสิทธิภาพมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งที่ผู้เขียนให้ความสนใจ การเรียนแบบร่วมมือกันเป็นการจัดการเรียนการสอนอีกรูปแบบหนึ่งที่มีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับว่าสามารถพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้สูงขึ้นได้ เนื่องจากเป็นรูปแบบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ร่วมกันทำงานเป็นกลุ่ม ปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ส่งผลให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น การเรียนแบบร่วมมือกันประกอบด้วยรูปแบบการสอนหลากหลายเทคนิค การเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิคกลุ่มผลสัมฤทธิ์ (Student Team Achivement Division) เป็นรูปแบบการ
เรียนแบบร่วมมือกันอีกเทคนิคหนึ่งที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังจะเห็นได้จากผลการวิจัยของ
Robert Slavin (1995) พบว่าการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิคกลุ่มผลสัมฤทธิ์ (STAD) ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น และทำให้นักเรียนมีทัศนคติต่อวิชาที่เรียนดีขึ้นนอกจากนี้ยังสามารถดัดแปลงใช้ได้กับทุกรายวิชา เนื่องจากมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมที่ง่าย เหมาะสำหรับครูที่เริ่มใช้การเรียนแบบร่วมมือกันในระยะเริ่มแรก และเหมาะสำหรับนักเรียนที่เริ่มต้นฝึกการเรียนแบบร่วมมือกันในระยะเริ่มแรก
รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิคกลุ่มผลสัมฤทธิ์ (STAD) เป็นรูปแบบที่ได้พัฒนามาจากการเรียนแบบร่วมมือกัน มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเริ่มจากการนำเข้าสู่บทเรียนและแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งในขั้นนี้จะเป็นการสร้างความสนใจ และตรวจดูความพร้อมของผู้เรียนโดยใช้การสนทนาหรือใช้เกม จากนั้นครูจะแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิก 4 - 5 คน ซึ่งมีความสามารถทางการเรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน ขั้นตอนนี้ครูจะนำเสนอบทเรียน โดยใช้วิธีการต่างๆประกอบสื่อการสอน เช่น แผ่นใสบัตรคำ รูปภาพ เป็นต้น หลังจากนั้นนักเรียนจะได้ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม โดยนักเรียนศึกษาใบงานร่วมกับสมาชิก ซึ่งทุกคนในกลุ่มจะต้องเรียนรู้เนื้อหานั้นให้เข้าใจและช่วยกันทำงาน และในขั้นสรุป ครูสุ่มนักเรียนซักถามความเข้าใจ และอธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่นักเรียนไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดพลาด เมื่อจบเนื้อหาในแต่ละบทเรียน ท้ายชั่วโมงจะมีการทำแบบทดสอบย่อยเป็นรายบุคคลซึ่งจะคิดคะแนนออกมาเป็นรายบุคคลและคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม ขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นขั้นวัดผลประเมินผลและมอบรางวัล ซึ่งครูจะประกาศคะแนนให้กลุ่มรู้ ให้รางวัลกับกลุ่มที่ทำคะแนนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด เป็นแรงจูงใจให้นักเรียนตระหนักถึงความสำเร็จของกลุ่มจากการศึกษารูปแบบและขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของวิธีการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิคกลุ่มผลสัมฤทธิ์ (STAD) จะเห็นว่ามีกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าความรู้ ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง และมีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้นักเรียนมีความเข้าใจในบทเรียนและมีทัศนคติที่ดีต่อวิชาที่เรียนมากขึ้น
วิธีสอนแบบกลุ่มผลสัมฤทธิ์เป็นวิธีสอนที่สร้างแรงจูงใจให้นักเรียนเป็นอย่างดี เพราะมีขั้นตอนการสอนที่จะมีการให้รางวัลและให้คะแนนเป็นตัวกระตุ้นความตั้งใจของนักเรียนในทุกๆบทเรียน ทำให้นักเรียนมีพฤติกรรมติดอยู่กับงาน มีความตั้งใจทำงานและรับผิดชอบมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อวิชาที่เรียนอีกด้วย นอกจากนี้ยังทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนของทุกระดับความสามารถสูงขึ้น เนื่องจากเป็นวิธีสอนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้และปฏิบัติด้วยตนเองนักเรียนในกลุ่มเก่งจะช่วยเหลือและยอมรับนักเรียนกลุ่มอ่อน ทำให้นักเรียนกลุ่มอ่อนเกิดความภาคภูมิใจในตนเองมีความต้องการที่จะเรียนมากยิ่งขึ้นผู้เขียนมีความเห็นว่าการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิคกลุ่มผลสัมฤทธิ์ (STAD) น่าจะเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหานักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำและนักเรียนไม่สนใจเรียนได้ ผู้เขียนจึงสนใจที่จะนำรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือกันเทคนิคกลุ่มผลสัมฤทธิ์ (STAD)มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนของนักเรียน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น